วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

แก้อาการคันคอ แค่เกาหูก็หายคันคอแล้วนะ รู้ยัง ?

Picture
   แก้อาการคันคอ​ทำง่ายมาก ๆ แค่เกาหูก็ช่วยแก้ระคายคอได้ แม้จะเป็นวิธีแปลกหน่อยแต่ได้ผลดีนะ 

          อาการคันในลำคอน่ารำคาญจะตายไปใช่ไหมคะ และบางทีลองรักษาอาการคันคอมาหลากหลายก็ยังไม่หาย จนเริ่มจะกลุ้มใจกันละ ถ้าอย่างนั้นมาลองวิธีแปลก ๆ อย่างการเกาหูแก้คันคอดูบ้างไหมล่ะ แม้จะดูเป็นวิธีแก้คันคอที่ประหลาดไปหน่อย แต่ลองเถอะแล้วจะติดใจ

          นอกจากการรับประยาแก้อักเสบเพื่อรักษาอาการคันคอแล้ว เมื่อมีอาการคันคอยิบ ๆ เรายังสามารถใช้วิธีเกาหูแก้คันคอได้ด้วย โดยนายแพทย์สก็อตต์ ชาร์ฟเฟอร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหู จมูก และคอ จากสถาบัน Gibbsboro รัฐนิวเจอร์ซี สหรัฐอเมริกาอธิบายไว้ว่า หู จมูก คอ ยาวไปถึงท้องน้อยมีเส้นประสาทที่เชื่อมโยงถึงกัน ดังนั้นเมื่อเส้นประสาทบริเวณหูถูกกระตุ้นด้วยการเกา ก็จะก่อให้เกิดผลกระทบไปยังเส้นประสาทบริเวณจมูก คอ และท้องน้อย ทำให้เกิดอาการชักกระตุกไปด้วย ส่งผลให้อาการคันคอบรรเทาลงไปพร้อม ๆ กันนั่นเอง

          โดยวิธีแก้อาการคันคอด้วยการเกาหู สามารถทำได้โดยแหย่นิ้วเข้าไปในรูหู แล้วขยับนิ้วเการูหูเน้น ๆ คล้ายตอนแคะหูยังไงยังงั้นนั่นล่ะค่ะ ทว่าอย่าแหย่นิ้วเข้าไปในรูหูลึกจนเกินไปนะคะ ไม่อย่างนั้นอาจเกิดการกระทบกระเทือนถึงรูหูได้  

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2559

รักษาสิวด้วยมะละกอ

Picture
   รักษาสิวด้วยมะละกอ

วิธีรักษาสิวด้วยผลไม้ สาว ๆ รู้ไหมคะว่า ผลไม้ นอกจากจะรับประทานได้แล้ว ยังช่วยรักษาสิวได้อีกด้วยนะ   วันนี้เรามีสูตรจากมะละกอ รักษาสิว อยากรู้กันแล้วล่ะสิ ว่าสูตรรักษาสิวด้วยมะละกอ นั้นทำอย่างไรมาดูกันเลย

รักษาสิวด้วยมะละกอ

         
นำมะละกอสุกมาปอกเปลือกออก เสร็จแล้วนำไปล้างให้สะอาด จากนั้นบดเนื้อมะละกอให้ละเอียด แล้วนำมาพอกหน้าให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที ค่อยล้างหน้าให้สะอาด สูตรนี้ทำเป็นประจำจะช่วยทำให้สิวอักเสบทั้งหลายยุบตัวลงได้เร็ว แถมสิวหายแล้วยังไม่เป็นรอยดำอีกด้วย ส่วนรอยสิวเก่า ๆ ก็จะค่อย ๆ จางลงอย่างเห็นได้ชัดเลยล่ะค่ะ

ขมิ้นชัน กับสรรพคุณความงาม

Picture
ขมิ้นชัน กับสรรพคุณความงาม

ขมิ้นชัน สมุนไพรไทยชั้นเลิศ กับสรรพคุณเรื่องความสวยความงาม เชื่อเถอะว่าคุณเองก็อาจจะยังไม่เคยรู้ ซึ่งวันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลมาให้สาว ๆ ได้ศึกษากันแล้วค่ะ ไปดูกันเลย
ช่วยให้ผิวขาวเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ

          ตั้งแต่สมัยโบราณ คนไทยนิยมนำขมิ้นชันมาขัดผิว เพื่อให้ผิวขาวผ่องและสวยเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งสูตรที่ว่านี้ก็ยังสามารถนำมาใช้ได้จนถึงปัจจุบัน เพียงแค่นำผงขมิ้นชันที่บดละเอียดแล้ว นำมาผสมกับน้ำสะอาดและดินสอพอง คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมาขัดผิว พอกหน้าและพอกตัว ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีแล้วล้างออก ผิวจะขาวเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 ช่วยรักษาสิว

          นำผงขมิ้นชันที่บดละเอียดแล้วมาผสมกับน้ำมะนาว คนให้เข้ากัน จากนั้นนำมาแต้มสิวหรือพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด สูตรนี้สามารถทำได้ทุกวัน จะช่วยให้ผิวหน้าดูดี สิวอักเสบยุบลง และช่วยทำให้รอยดำรอยแดงจากสิวจางลงได้

 ช่วยกระชับรูขุมขนบนใบหน้า

          นำผงขมิ้นชันที่บดละเอียดแล้วมาผสมกับนมสด และน้ำผึ้ง คนให้เข้ากัน จากนั้นนำมาขัดและนวดหน้าเบา ๆ เสร็จแล้วพอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด สูตรนี้จะช่วยทำให้หน้าสะอาด กระชับรูขุมขนให้เล็กลง แถมยังช่วยให้หน้าเนียมนุ่มขึ้นอีกด้วย

ช่วยลดเลือนรอยด่างดำตามร่างกาย

          นำขมิ้นชันไปตากแห้งและบดให้ละเอียดเป็นผง ก่อนอาบน้ำให้นำมาผสมกับน้ำเล็กน้อย แล้วเอามาขัดเบา ๆ ตามลำตัว ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วค่อยอาบน้ำตามปกติ สูตรนี้สามารถทำได้ทุกวัน จะช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม ขาวผ่อง และช่วยลดเลือนจุดด่างดำตามร่างกายให้หายไปได้

 ช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้า


          นำผงขมิ้นชันที่บดละเอียดแล้วมาผสมกับถั่วเขียวบด และนมสด คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด สูตรนี้สามารถทำได้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะสามารถช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้าได้ดี

 ช่วยแก้ปัญหาหน้ามัน

          นำผงขมิ้นชันที่บดละเอียดแล้วมาผสมกับน้ำส้มคั้นสด และน้ำผึ้ง คนให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที ล้างออกให้สะอาด สูตรนี้ทำเป็นประจำ จะช่วยลดปัญหาหน้ามันให้กับคุณสาว ๆ ได้ค่ะ

วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2558

สูตรพอกหน้าลดสิว 6 สูตรขั้นเทพ !

Picture
สูตรพอกหน้าลดสิว 6 สูตรขั้นเทพ ! 

ปัญหาสิว ถึงแม้จะเป็นแค่เม็ดเล็ก ๆ บนใบหน้า แต่ก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้หญิง ทำให้ใครหลายคนต้องคอยคิดหาวิธีจัดการด้วยการซื้อครีมแต้มสิวหรือแม้แต่ครีมบำรุงผิวราคาแพง ๆ มาใช้กัน แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่ได้ผล บางรายถึงขั้นเป็นหนักกว่าเดิมซะอีก แล้วคราวนี้จะทำอย่างไรดี ? ไม่ต้องห่วงไปค่ะสาว ๆ เอาเป็นว่าก่อนที่จะเสียเงินกับการรักษาสิวไปมากกว่านี้ ลองหันมาทำสูตรพอกหน้าลดสิว6 สูตรเด็ด

 มะเขือเทศ และมะนาว
          นำมะเขือเทศประมาณ 1-2 ลูก ไปปั่นให้ละเอียด ผสมน้ำมะนาวลงไปครึ่งซีก คนให้เข้ากัน จากนั้นให้นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาด สูตรนี้จะช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียป้องกันการเกิดสิวใหม่ และช่วยทำให้สิวที่เป็นอยู่ยุบเร็วขึ้น อีกทั้งยังช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้รอยดำรอยแดงจากสิวจางลงได้ง่ายอีกด้วย

โยเกิร์ตรสธรรมชาติ

          สูตรนี้ง่ายมาก ๆ เลยค่ะสาว ๆ เพียงแค่นำโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่แช่เย็นแล้วมาพอกหน้า นวดเบา ๆ แล้วทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที จากนั้นล้างหน้าให้สะอาด สูตรนี้สาว ๆ สามารถทำได้ทุกวันเลยนะคะ สิวผดหรือสิวเม็ดเล็ก ๆ จะค่อย ๆ หายไป และยังจะช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียลดสาเหตุของการเกิดสิวได้อีกด้วย

ดินสอพอง ผงขมิ้นชัน และน้ำผึ้ง

          นำดินสอพองมาละลายกับน้ำสะอาดพอข้น ๆ จากนั้นผสมผงขมิ้นชันและน้ำผึ้งลงไปเล็กน้อย คนให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วค่อยล้างออกให้สะอาด หลังพอกหน้าเสร็จจะรู้สึกว่าหน้านุ่มขึ้น นอกจากนี้ยังจะช่วยทำให้สิวอับเสบแห้งลงได้ง่าย แถมยังจะช่วยจัดการกับสิวผดที่มากวนใจได้อีกด้วยนะสาว ๆ

น้ำผึ้ง และมะนาว

          นำน้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ มาผสมกับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน จากนั้นให้นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด สูตรนี้ทำบ่อย ๆ จะช่วยผลัดเซลล์ผิว ช่วยให้สิวแห้ง รอยสิวจางลงได้เร็ว และช่วยป้องกันสิวใหม่ที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังจะทำให้รูขุมขนเล็กลงอีกด้วย

มะขามเปียก และนมสด
          นำมะขามเปียกมาผสมกับนมสด พอให้ได้เนื้อข้น ๆ ไม่เหลวจนเกินไป จากนั้นให้นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด สูตรนี้สามารถทำได้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง จะช่วยลดสิวได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นสิวอักเสบ สิวผด สิวอุดตัน สิวเสี้ยน สิวหัวดำ หรือแม้แต่รอยสิวก็ยังจะช่วยให้ดูจางลงได้ง่าย ๆ

ไข่ขาว และน้ำมะนาว
          นำไข่มาตอกใส่ถ้วย จากนั้นแยกเอาไข่แดงออก (ใช้แต่ไข่ขาว) ผสมน้ำมะนาวลงไปประมาณ 1 ช้อนชา ตีให้เข้ากันจนเป็นฟอง แล้วให้นำสำลีแผ่นบาง ๆ มาชุบแล้วแปะลงไปบนใบหน้า ทิ้งไว้จนไข่ขาวเริ่มแห้ง แล้วค่อย ๆ ลอกแผ่นสำลีออก จากนั้นให้ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นตามด้วยน้ำเย็นให้สะอาด สูตรนี้จะช่วยกระชับรูขุมขน ลดสิวเสี้ยน สิวหัวดำ และช่วยให้หน้ามันน้อยลงได้ด้วย

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2558

10 เคล็ดลับผมสวย

Picture

10 เคล็ดลับผมสวย

คนส่วนมากมักมามีปัญหาผมร่วงหรือผมบาง ซึ่งมีสาเหตุมากมาย เช่น ผมร่วงเฉพาะ ผมบางแบบกรรมพันธุ์ ผมร่วงจากความเครียด เป็นต้น ซึ่งการรักษาส่วนมากต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน และระหว่างนี้ คนเหล่านี้ก็มักจะถามว่าควรดูแลสุขภาพผมให้ดีได้อย่างไร? เราจึงรวบรวมเคล็ดลับการดูแลผมซึ่งสามารถใช้ได้กับผมปกติ เพื่อที่เส้นผมเหล่านี้จะอยู่กับคุณต่อไปได้นานๆ

อย่ายุ่งกับผมมากนัก 

เวลาที่คุณไปร้านทำผมนั้น ช่างทำผมมักแนะนำให้ทำผมต่างๆ มากมายนอกจากการสระหรือตัดผม เช่น ย้อม ดัด หมัก และในปัจจุบันมีการทำสปาหนังศีรษะและผมอีก ซึ่งผมมักแนะนำว่าให้ทำได้ แต่อย่าทำบ่อยเกินไป อย่าลืมว่าผมของคุณนั้นเป็นส่วนที่ตายแล้ว ถ้าคุณไปดัดหรือย้อมผมมากเกินไป จนเสียแตกหรือหักแล้วก็ไม่สามารถจะซ่อมแซมได้

เลือกหวี (comb) ที่ดี

สิ่งที่ทำอันตรายต่อเส้นผม หรือหนังศีรษะที่สำคัญประการหนึ่งคือ การหวีผม เพราะเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องทำเป็นประจำทุกวัน ก่อนอื่นควรเลือกหวีที่มีฟันกว้างพอสมควร เพราะถ้าคุณเลือกหวีที่ฟันแคบไป ก็จะเป็นอันตรายต่อเส้นผมหรือหนังศีรษะได้ และถ้าสามารถเลือกหวีที่มีสารเทฟลอน (Teflon) เคลือบไว้ที่ฟันด้วยก็จะช่วยลดแรงเสียดทานต่างๆ ได้มากขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่าต้องหวีผมให้ได้ถึงวันละ 100 หน เพื่อให้ผมมีสุขภาพที่ดี เป็นความเชื่อที่ผิดนะครับ เพราะถ้าคุณหวีวันละ 100 หนเป็นเวลานานๆ ผมจะร่วงมากกว่าครับ เพราะเป็นการทำอันตรายต่อเส้นผมและหนังศีรษะ โดยทั่วไปผมแนะนำให้หวีวันละ 5-10 ครั้งก็พอแล้ว

เลือกแปรง (brush) ที่ดี

ลักษณะของแปรงผมที่ดี ควรมีตัวฟันแปรงห่างกันพอสมควร และทำด้วยพลาสติกที่มีปลายเป็นจุดบอลเล็กๆ ติดอยู่เพื่อลดโอกาสที่จะขีดข่วน ทำอันตรายต่อหนังศีรษะของคุณ ปัจจุบันแปรงที่กำลังนิยมกันมาก คือแปรงที่ทำจากไม้ซี่เล็กๆ มีปลายค่อนข้างแหลม เพราะเชื่อว่าเป็นผลิตธรรมชาติที่ดี ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดครับ วิธีง่ายๆ ในการเลือกซื้อ ก็คือลองแปรงผมของคุณ ถ้าคุณรู้สึกเจ็บหรือปวด ก็แสดงว่าแปรงนั้นไม่เหมาะกับหนังศีรษะของคุณ

อย่าหวีผมตอนผมเปียก

เวลาหลังสระผมนั้นผมมักจะเปียกและพันกัน คนส่วนมากมักจะหวีหรือแปรงผมเพื่อที่จะให้ผมดูดี แต่เวลาที่ผมเปียกนั้นเป็นช่วงที่เส้นผมจะอ่อนแอมาก ไม่ควรไปทำอะไรกับเส้นผมช่วงนั้นมาก อาจจะใช้นิ้วมือช่วยสางผมจากโคนผมถึงปลายผม และเมื่อเวลาที่ผมเกือบแห้งแล้ว จึงค่อยใช้หวีหรือแปรงผมจะดีกว่า

ไม่ควรเป่าผมด้วยความร้อน

คนส่วนใหญ่นิยมเป่าผมให้แห้งโดยใช้ความร้อนสูง โดยใช้เครื่องเป่าผมที่บ้านหรือใช้ที่ครอบผม (hood) ในร้านทำผม ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะความร้อนจะสลายเส้นผมได้ และทำให้น้ำในเส้นผมระเหยออกอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิด "bubble hair" ซึ่งจะทำให้เส้นผมแตกหักได้ ความจริงแล้วควรใช้ที่เป่าผมให้ลมออกมาในอุณหภูมิปกติ (แต่ผู้ใช้ส่วนมากมักไม่ชอบ) ผมจึงแนะนำให้ใช้ความร้อนน้อยที่สุดก็แล้วกัน

อย่าแกะหรือเกาหนังศีรษะ

ในคนที่มีรังแคหรือผิวหนังอักเสบที่ศีรษะ บางคนจะมีอาการคันที่หนังศีรษะร่วมด้วย และมักจะคอยแกะหรือเกาทำให้ผมร่วงได้ ซึ่งบางทีจะรักษายากกว่าอาการรังแคเองเสียอีก ถ้าคุณมีรังแคหรือคันศีรษะมาก ควรพบแพทย์ผิวหนังดีกว่า เพราะอาจจำเป็นต้องใช้โลชั่นในกลุ่มของสเตียรอยด์ ร่วมกับแชมพูยาสระผม และในรายที่มีอาการคันมากอาจต้องใช้ยา antihistamine ชนิดรับประทานเพื่อช่วยอาการคันในช่วงแรก

ลองใช้ conditioning shampoo ดู

ส่วนมากคนที่มาหาหมอผิวหนังนั้น มักมีผมที่เสียมากพอสมควร การใช้แชมพูที่ผสมครีมนวดผม (conditioner) จะช่วยได้ แต่หมอผิวหนังก็มักแนะนำให้ใช้แยกกัน โดยใช้ครีมนวดผม (conditioner) ตามหลังแชมพู

ควรใช้ instant conditioner ตามหลังการสระผม

instant conditioner ก็คือ conditioner ที่ใช้ทันทีหลังสระผม ซึ่งพวกนี้ระยะหลังๆ มักมีสารซิลิโคน (silicon) ประกอบด้วย การใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ จะช่วยให้สภาพเส้นผมดีขึ้นได้ไม่มากก็น้อย

ลองใช้ deep conditioner อาทิตย์ละหน

การ ใช้ deep conditioner จะเหมาะกับผมที่ได้รับการดัด ย้อม หรือทำเป็นเส้นตรง โดยการหมักไว้ประมาณ 20-30 นาที ซึ่งมี 2 ชนิด คือ ชนิดน้ำมัน (oil) หรือโปรตีน (protein) โดยมากผมมักแนะนำให้ใช้แบบโปรตีน เพราะใช้ได้ทุกสภาพเส้นผม ส่วนชนิดน้ำมันเหมาะกับผมหยักศกที่ยืดเป็นผมเส้นตรง

ตัดผมเสียที่ปลายผมออกไป

คนส่วนมากมักไม่ค่อยอยากตัดผมที่เสียบริเวณปลายผมทิ้ง เพราะอยากเก็บผมไว้นานๆ แต่หมอผิวหนังมักแนะนำให้ตัดเล็มออกไป เพราะผมที่เสียแล้วไม่มีประโยชน์ แถมยังทำให้ผมฟูฟ่องจัดทรงได้ยากอีกด้วย   

ลดน้ำหนักแล้วดื่มกาแฟได้ไหม

Picture
ลดน้ำหนักแล้วดื่มกาแฟได้ไหม

หลายคนสงสัย ว่าคนกำลังลดน้ำหนักหรือกำลังอยากจะลด คุณคงทราบดีว่าจะต้องหลีกเลี่ยงหรือจำกัดปริมาณอาหารประเภทข้าว แป้ง น้ำตาล และไขมันให้น้อยลง แต่สิ่งหนึ่งที่คุณขาดไม่ได้และต้องทานเป็นประจำทุกวันอย่างกาแฟ จะให้เลิกกินไปเลยมันก็คงจะรู้สึกแปลกๆอยู่

จริงๆแล้วการดื่มแต่กาแฟโดยไม่เติมอะไรเพิ่มไม่ทำให้คุณอ้วนขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ เพราะในกาแฟดำ 1 ถ้วยให้พลังงานเพียง 2-5 กิโลแคลอรี่เท่านั้นเอง หรือบางทีอาจจะไม่ให้พลังงานเลยด้วยซ้ำ แต่การเติมส่วนผสมอื่นๆลงไปต่างหากที่ทำให้กาแฟถ้วยนั้นกลายเป็นของต้องห้ามสำหรับการลดน้ำหนัก

หากเราหลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณการเติมเครื่องปรุงที่ให้พลังงานสูงอย่างนม น้ำตาล ครีมเทียม หรือวิปปิ้งครีมลงไป การดื่มกาแฟในช่วงลดน้ำหนักก็ไม่ใช่สิ่งต้องห้ามค่ะ และถ้าหากเป็นกาแฟแบบซองสำเร็จรูปก็ต้องใส่ใจกับฉลากข้างซองนิดนึงนะคะว่าแต่ละยี่ห้อนั้นให้พลังงานเท่าไหร่บ้าง

วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2558

วิธีดูแลผิวไม่ให้หน้าแก่